บังช้ำรัก 30 ปีไม่มีความหมาย สาวไทยขอหย่า ได้แค่ตู้เย็นเก่า ๆ พ้อทุ่มเทไปหมดใจแล้ว ด้าน ฝ่ายหญิง เล่าอีกมุม สาเหตุทนไม่ไหว ตัดสินใจขอแยกทาง
วันที่ 3 ก.ย.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา นายสยามประสาท ดูเบ รองประธานคณะทำงานกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ได้พา นายราเดช สยาม อายุ 52 ปี ชาวอินเดีย เข้าพบ ร.ต.อ.เสถียร ชูศรีวาสส์ รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.เมืองสมุทรปราการ เพื่อให้ช่วยไกล่เกลี่ยและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
หลังจากนายราเดชอ้างว่า ตนเองถูกภรรยาชาวไทย ซึ่งจดทะเบียนสมรสอยู่กินมานานกว่า 30 ปี หมดรักขอแยกทาง แถมไล่ออกจากบ้าน จนไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ของที่ได้ติดตัวออกมานั้น มีเพียงตู้เย็นเก่า ๆ เพียงตู้เดียว
จากนั้นเมื่อพบเห็นครั้งแรกตนก็ตกหลุมรักทันที เนื่องจากนุชราพรเป็นคนหน้าตาสวย ประกอบกับพูดจาดี หวาน เอาใจเก่งจนทำให้ตนหลงเสน่ห์ ตัดสินใจคบหากัน ต่อมา ตนจับได้ว่า นางนุชราพรมีลูกติด 4 คน แต่ทำยังไงได้ ตนทุ่มเทไปหมดใจแล้ว จึงคบต่อ และดูแลครอบครัวของนางนุชราพร กระทั่งจดทะเบียนสมรสกัน
ช่วงระหว่างอยู่ด้วยกัน ตนก็ดูแลคนในบ้านดีมาโดยตลอด และยังเปิดร้านขายของย่านปากน้ำ เพื่อหาเงินสร้างครอบครัวด้วยกัน ต่อมานางนุชราพรก็เปลี่ยนไป จากที่หวาน ปรนนิบัติดี กลับกลายเป็นคนอื่นที่หมดอาลัย แถมยังกดดันให้ตนออกจากบ้าน จนมีปากเสียงกับตนบ่อยครั้ง ทั้งที่ตนทุ่มเททั้งเงินและความรัก
จนวันนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว จากนี้ตนไม่เอาอีกแล้ว เข็ดกับสาวไทย ไม่คิดว่าสิ่งที่ลงทุนไป จะได้กลับมาเพียงตู้เย็นเก่า ๆ เพียงตู้เดียว แต่ขอเวลาอีกหน่อย ยังไม่พร้อมที่จะหย่าและเดินออกจากบ้าน ยังเป็นห่วงนางนุชราพรที่ยังต้องรักษาอาการทางจิตอยู่ แต่หลังจากนางนุชราพรหายดีแล้ว ตนจะมาเซ็นใบหย่าให้ แต่ขอเวลาอีกสัก 30 วัน
อย่างไรก็ตาม ตนอยากเตือนเพื่อน ๆ ชาวต่างชาติ ว่าอย่าทุ่มเทกับสาวไทย บางคนแรก ๆ ก็รักเราดี แต่หลังจากเราทุ่มเทให้ทั้งใจและเงินไปแล้ว สุดท้ายก็มาทิ้งเราไม่ดูแลเราเหมือนแต่ก่อน ตนรักประเทศไทยมาก ๆ และอยากอยู่ที่ไทยต่อ
ด้าน นางนุชราพร กล่าวว่า สาเหตุที่ตนขอหย่า เพราะนายราเดชชอบด่าตนด้วยคำหยาบคาย และช่วงอยู่ด้วยกันนายราเดชไม่ค่อยชอบขี้หน้าลูกตนทั้ง 4 คน จนทำให้ทะเลาะกันมาโดยตลอด จนวันนี้ตนทนไม่ไหวตัดสินใจขอแยกทาง แต่นายราเดชไม่ยอมเซ็นใบหย่าให้ ทั้งนี้ ตนไม่ได้ป่วยจิตเวช ตามที่นายราเดชอ้าง
ส่วนบรรยากาศภายในโรงพัก สภ.เมืองสมุทรปราการ เกิดเหตุความวุ่นวาย โดยทั้งสองฝ่ายออกมาโวยวายตอบโต้กันไปมาเสียงดังลั่นโรงพัก จนเจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาห้าม หวิดวางมวย ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะไปเซ็นชื่อในใบลงบันทึกประจำวัน
ซึ่งนายราเดชไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับลูกของนางนุชราพรสองคนที่มีปัญหากัน และต่างฝ่ายจะไม่ยุ่งจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กันอีก นายราเดชยินยอมจะย้ายออกจากบ้านนางนุชยาพร ขณะที่นางนุชยาพรยินดีที่จะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ ยกเว้นบ้านและที่ดิน
ต่อมาหลังจากนายราเดชใจเย็นลงได้มาขอร้องให้ผู้สื่อข่าว ช่วยนำเสนอเรื่องที่เกิดขึ้น และฝากผ่านสื่อว่าบอกนางนุชราพรว่า “ตนรักนุชมาก ถึงแม้ว่านุชจะหลอก ตนก็เต็มใจจะให้หลอก ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันตนมีความสุข และจะไม่ขอเซ็นใบหย่า ถึงแม้นุชจะขอเลิกก็ตาม”