ยายสายตาพิการรับจ้างเลี้ยงเด็ก เดือดร้อนหนัก พ่อแม่เด็กไม่จ่ายเงินค่าเลี้ยงดู ควักเงินเบี้ยยังชีพคนชราเลี้ยงดูแทน เผยสงสารแต่แบกภาระไม่ไหว
วันที่ 3 ก.ย. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ดร.ปริญญา ศักดิ์นาวี นักกิจกรรมในพื้นที่ตำบลบางศรีเมือง ลงพื้นที่ไปยังบ้านพักหลังหนึ่ง ในชุมชนหมู่ 1 ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี หลังได้รับเรื่องร้องเรียนขอความช่วยเหลือจาก นางบุญเรือน ปั้นเล็ก อายุ 63 ปี หญิงสูงวัยที่รับจ้างเลี้ยงน้องเปาเด็กชายวัย 3 ขวบกว่า กำลังประสบปัญหาทุกข์ใจหนัก
หลังไม่ได้รับค่าจ้างเลี้ยงดูจากพ่อแม่ของน้องเปามานานร่วมปี ทำให้ต้องใช้เงินในครอบครัวที่ได้จากเบี้ยยังชีพคนชรา 2 ตายาย มาเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กชายวัย 3 ขวบเศษคนดังกล่าว จนรายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เนื่องจากนางบุญเรือนยังต้องรับเลี้ยงดูพี่ชายวัย 70 ปี ที่ป่วยติดเตียงอีกคน
นางบุญเรือน เปิดเผยว่า ตนรับจ้างเลี้ยงเด็กชายเปามาตั้งแต่อายุได้เพียง 5 เดือน เนื่องจากพ่อเขานำมาฝากเลี้ยง หลังจากเลิกลากับแม่ของน้องเปา ด้วยความสงสารตนจึงรับเลี้ยงน้องเปามาตั้งแต่นั้น โดยตอนแรกตนตั้งใจจะเลี้ยงแค่เช้ายันเย็น แต่พ่อเด็กต้องทำงานหาเงินเพียงคนเดียว ด้วยความเห็นใจจึงรับจ้างเลี้ยงทั้งวันทั้งคืนในราคาวัน 100 บาท หรือตกเดือนละ 3 พันบาท
ซึ่งในช่วงแรกทางพ่อเด็กซึ่งทำงานพอมีรายได้ก็ค่าเลี้ยงดูให้เดือนละ 3 พันบาท บวกค่านมกับแพมเพิสอีก 1 พันบาท รวมเป็น 4 พันบาท ซึ่งช่วงปีแรกๆพ่อของเด็กก็จ่ายค่าเลี้ยงดูได้ตรงเวลา แต่ต่อมาในปีหลังๆพ่อเด็กเกิดตกงานไม่มีงานทำและไม่มีรายได้ก็เลยไม่ได้ค่าเลี้ยงดูให้กับตนเลย ทำให้ตนขอความเห็นใจไปทางย่าของเด็กแทน
ซึ่งทางย่าของเด็กซึ่งก็ไม่มีงานทำเช่นกัน แต่พอช่วยเหลือได้ครั้งละ 500 บาท ซึ่งก็ไม่เพียงพอกับค่าเลี้ยงดูที่ตนแบกรับอยู่ เพราะค่าอาหาร ค่านม ค่าแพมเพิล ค่าใช้จ่ายต่างๆ มาตกรวมอยู่ที่ตนทั้งหมด
นางบุญเรือน กล่าวว่า เมื่อทางพ่อเด็กไม่มีจ่ายค่าเลี้ยงดูให้กับตน ซึ่งตนก็เห็นใจพ่อเด็ก เลยลองติดต่อไปหาทางแม่เด็กแทนเพื่อให้ส่งค่าเลี้ยงดูมาช่วยเหลือตนบ้าง แต่แม่เด็กกลับบอกว่ามีเงินให้แค่ 300 บาท แล้วขอบัญชีตนไปสุดท้ายก็ไม่โอนเงินมาให้ ตนจึงเลิกติดต่อไป
ซึ่งที่ผ่านมาทางแม่ของเด็กเองไม่เคยมาเหลียวแลลูกชายเขาที่ฝากตนเลี้ยงดูเลย โดยเขามักจะอ้างว่าตกงาน ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้อะไร ทำให้ตนกับสามีซึ่งมีรายได้จากเบี้ยยังชีพคนชราเพียงเดือนละไม่กี่ร้อยบาท สองคนรวมกันประมาณพันกว่าบาท จ่ายค่าน้ำค่าไฟในบ้านก็เกือบหมดแล้ว
นอกจากนี้ตนยังต้องรับภาระเลี้ยงดูพี่ชายวัย 70 ปี ที่ล้มป่วยเป็นโรคกระดูกทับเส้นจนไม่สามารถลุกเดินได้อีกคน ทำให้ทางครอบครัวของตนในตอนนี้ขัดสนและลำบากมาก อยากให้พี่หน่วยงานลงพื่นที่มาให้ความช่วยเหลือกับครอบครัวตนบ้าง เพราะปัจจุบันตนก็เสียตาไปข้างหนึ่ง ทำให้การมองเห็นก็ไม่ถนัด แต่ยังไม่ได้ทำบัตรเป็นผู้พิการทางสายตา
ตนกลุ้มใจมาก เพราะไม่รู้จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไง จะให้เลี้ยงเด็กต่อไปก็เริ่มหนักใจเพราะไม่มีเงินมาเป็นใช้จ่ายดูแลเด็ก ส่วนจะให้เด็กไปอยู่ในการดูแลคุ้มครองของเจ้าหน้าที่คนอื่น ตนก็รู้สึกสงสารเด็กเพราะเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะมาจน 3 ขวบเศษมันก็รู้สึกผูกผันกันไปแล้ว ก็คงต้องเลี้ยงดูแลกันไปตามเท่าที่มี แต่หากมีหน่วยงานเข้ามาดูแลช่วยเหลือเรื่องรายได้หรือทำบัตรคนพิการทางสายตาให้กับตน ก็พอจะทำให้ตนมีรายได้ต่อเดือนเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยก็ยังดี
เพราะปัจจุบันนี้น้องเปาเด็กชายที่ตนรับจ้างเลี้ยงมา เข้าเรียนหนังสือในชั้นเตรียมอนุบาลแล้ว ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางรับส่งไปโรงเรียนอีกสัปดาห์ละ 300 บาท ซึ่งก็เป็นภาระมาตกอยู่ที่ตนทั้งหมด ซึ่งพ่อของเด็กก็มีค่าจ้างมาจ่ายให้บ้างไม่จ่ายบ้าง จนปัจจุบันตนไม่ได้ค่าจ้างเลย
ส่วนทางแม่เด็กไม่ต้องไปพูดถึงเพราะขนาดลูกตัวเองแท้ๆ เข้าโรงเรียนแล้วแท้ๆ ยังไม่เคยมาเหลียวแลดูแลรับส่งลูกไปกลับโรงเรียนเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายเลย กลายเป็นตนที่ต่องจ่ายค่ารถรับส่งเพิ่มขึ้นมาอีก
ด้าน ดร.ปริญญา ศักดิ์นาวี นักกิจกรรมในพื้นที่ตำบลบางศรีเมือง กล่าวว่า จากการลงสำรวจพื้นที่ของตน จนมาพบยายบุญเรือนซึ่งมีอาชีพรับจ้างเลี้ยงเด็กในชุมชน แล้วพบว่ายายบุญเรือนกำลังประสบปัญหา พ่อแม่เด็กที่นำเด็กมาฝากเลี้ยงดูและกินนอนอยู่ที่บ้านด้วย ไม่มีเงินจ่ายค่าเลี้ยงดูมานานจนทำให้ภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กมาตกอยู่ที่ยายบุญเรือนเพียงคนเดียว แถมตัวเด็กเองตอนที่แม่เขาตั้งครรถ์อยู่ในสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์
ทำให้เมื่อเด็กคลอดออกมามีบาดแผลคล้ายรอยพุพองตามร่างกายและนิ้วมือมีพังพรืดติดกันอยู่ แต่โชคดีที่น้องเปายังมีพัฒนาการเมื่อเด็กปกติทั่วไป ในวันนี้ตนจึงอาสามาทำเรื่องเอกสารไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำเรื่องเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเด็กชายรายนี้และทำเอกสารผู้พิการทางสายตาให้กับยายบุญเรือนที่พิการสายตา อย่างน้อยเพื่อให้ครอบครัวยายบุญเรือนมีรายได้เพิ่มเติมจากที่เป็นอยู่ แม้จะได้เพิ่มไม่มากแต่ก็พอจะช่วยประคับประคองบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวยายบุญเรือนไปบ้าง